บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 2
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น.
___________________________________
- ได้นำเสนองานตามที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่แล้ว ตามหัวข้อต่อไปนี้
พัฒนาการ หมายถึง สิ่งที่บ่งบอกถึงความสามารถของเด็กในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งมีคำนิยามการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงที่เป็นตามลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่องคล้ายกับขั้นบันได พัฒนาการนั้นเกิดจากการทำงานของสมอง
ลักษณะพัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
มาตรฐาน คือ เกณฑ์ขั้นต่ำ
สภาพที่พึงประสงค์ คือ ความคาดหวังที่ต้องการให้เด็กสามารถทำได้
คุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐานประกอบด้วย
1.พัฒนาการด้านร่างกาย มี 2 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
ลักษณะพัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
มาตรฐาน คือ เกณฑ์ขั้นต่ำ
สภาพที่พึงประสงค์ คือ ความคาดหวังที่ต้องการให้เด็กสามารถทำได้
คุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐานประกอบด้วย
1.พัฒนาการด้านร่างกาย มี 2 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
2. พัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ มี 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
3. พัฒนาการด้านสังคม มี 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข
4. พัฒนาการด้านสติปัญญา มี 4 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย
มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข
4. พัฒนาการด้านสติปัญญา มี 4 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย
ข้อแตกต่างหลักสูตรเก่า 2546 หลักสูตรใหม่ 2560
- มีรูปแบบที่ชัดเจนขึ้นทำให้ง่ายต่อการนำมาเขียนการจัดประสบการณ์
- เพิ่มเติมวิสัยทัศน์ ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
- เพิ่มเติมตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์รายอายุ"เพื่อให้มีเนื้อหาที่ชัดเจนขึ้น
ทฤษฏีทางสติปัญญาของเพียเจต์(Piaget)
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ เป็นไปตามวัยต่างๆเป็นลำดับขั้น ดังนี้ 1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่
2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์2เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผล เกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่
- ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของ
3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) เริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้
4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) เริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่
ทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก็อตสกี้(Vygotsky)
วีก็อตสกี้แบ่งระดับเชาว์ปัญญาออกเป็น 2 ขั้น คือ 1. เชาว์ปัญญาขั้นเบื้องต้น คือเชาว์ปัญญามูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้
2. เชาว์ปัญญาขั้นสูง คือเชาว์ปัญญาที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ให้การอบรม เลี้ยงดู ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้โดยใช้ภาษา วีก็อตสกี้ ได้แบ่งพัฒนาการทางภาษาเป็น 3 ขั้น คือ
2.1 ภาษาที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียกว่า ภาษาสังคม (social speech) เป็นภาษาที่เด็กใช้ ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ในช่วงอายุ 0 - 3 ปี เพื่อสื่อสารความคิดความรู้สึกต่างๆที่ตนนั้นกำลังนึกคิด และต้องการที่จะแสดง ความต้องการอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองกับผู้อื่น
2.2 ภาษาที่พูดกับตนเอง 3 – 7 ขวบ (egocentric speech) เป็นภาษาที่เด็กใช้พูดกับตนเองในช่วงอายุ 3 -7 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เพื่อช่วยในการคิด ตัดสินใจแสดงพฤติกรรม
2.3 ภาษาที่พูดในใจเฉพาะตน 7 ขวบขึ้นไป (inner speech) วีก๊อทสกี้อธิบายว่า มนุษย์ต้องใช้ภาษาในการคิด เด็กจะต้องพัฒนาภาษาในใจ ซึ่งเป็นการช่วยให้พัฒนาการทางสติปัญญาพัฒนาสูงขึ้นตามระดับอายุ การพัฒนาภาษาภายในตนเองเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 7 ปี เมื่อเด็กพบปัญหาที่ยุ่งยากมากขึ้น เขาเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาไปตามขั้นตอนโดยใช้ภาษาภายในตนเอง ในขณะที่เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองนั้น เขาอาจพบบางปัญหาที่เขาคิดเองไม่ออก แต่หากได้รับคำแนะนำช่วยเหลือบางส่วนจากผู้ใหญ่ หรือได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเพื่อนเขาจะสามารถแก้ปัญหานั้นได้สำเร็จวีก๊อตสกี้เรียกระดับความสามารถนี้ว่าจุดที่เด็กสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จหากได้รับความช่วยเหลือสนับสนุน
- กลุ่มที่ 2 เรื่องความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
ความสนใจในการอ่าน การเขียน และการเล่นของเด็กปฐมวัย หมายถึง กิริยาท่าทางหรือการกระทำที่แสดงออกถึงความสนใจ ความต้องการ กระตือรือร้นที่จะอ่านและเขียนด้วยความเต็มใจ โดยไม่ได้ถูกบังคับหรือทำตามคำสั่ง พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสนใจในการอ่านเขียน เช่น การหยิบหนังสือต่างๆมาเปิดดูรูปภาพ ข้อความและทำท่าอ่าน หยิบจับอุปกรณ์ดินสอ ปากกา สี กระดาษ มาขีดเขียนหรือวาดภาพ ขอให้ครูหรือเพื่อนช่วยเล่าเรื่องหรือเล่านิทานให้ฟัง หรือขอให้เพื่อนช่วยวาดภาพให้ดู พูดเล่าเรื่องตามหนังสือ ป้ายสัญลักษณ์ ข้อความตามลำพัง เป็นต้น
ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัยมาจากพัฒนาการของเด็ก
ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัยมาจากพัฒนาการของเด็ก
- กลุ่มที่ 3 เรื่องการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
ทฤษฏีการเรียนรู้ของไวกอสกี้(Vygotsky)
ทฤษฏีไวกอสกี้ (Vygotsky) กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ Zone of proximal development ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
ทฤษฏีบรูเนอร์ (Bruner)
ทฤษฏีบรูเนอร์ (Bruner) กล่าวว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลักการจัดประสบการณ์ให้เด็กเกิดการเรียนรู้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมใกล้ตัวเด็ก โดยการทำซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดทักษะและเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ
1. ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
2. ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
3. ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์
2. ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
3. ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์
- กลุ่มที่ 4 เรื่องการสอนแบบโครงการ (Project Approach)
การสอนแบบโครงการ (Project Approach) หมายถึง การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้
วิธีการจัดการเรียนการสอน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจที่อยากเรียนเมื่อเลือกแล้ว ทำร่องรอยการเรียนรู้ต่างๆ เช่น การถามประสบการณ์เดิมเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน / คำถามที่เด็กอยากรู้ และค้นคว้่หาคำตอบ เช่น การไปสืบค้นห้องสมุด การไปทัศนศึกษา / ให้เด็กวาดภาพเชื่อมโยงประสบการณ์
ระยะที่ 2 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่อยากรู้ ค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียน อาจมีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้แก่เด็ก
ระยะที่ 3 สรุปโครงการ เด็กนำเสนอความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยเชิญผู้ปกครองและเด็กห้องอื่นๆมาเป็นผู้รับชมการนำเสนอ
ประโยชน์จากการสอนแบบโครงการ
1. เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
2. ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
3. เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเอง
4. เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับ ในความต้องการของเด็ก
วิธีการจัดการเรียนการสอน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจที่อยากเรียนเมื่อเลือกแล้ว ทำร่องรอยการเรียนรู้ต่างๆ เช่น การถามประสบการณ์เดิมเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน / คำถามที่เด็กอยากรู้ และค้นคว้่หาคำตอบ เช่น การไปสืบค้นห้องสมุด การไปทัศนศึกษา / ให้เด็กวาดภาพเชื่อมโยงประสบการณ์
ระยะที่ 2 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่อยากรู้ ค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียน อาจมีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้แก่เด็ก
ระยะที่ 3 สรุปโครงการ เด็กนำเสนอความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยเชิญผู้ปกครองและเด็กห้องอื่นๆมาเป็นผู้รับชมการนำเสนอ
ประโยชน์จากการสอนแบบโครงการ
1. เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
2. ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
3. เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเอง
4. เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับ ในความต้องการของเด็ก
คำศัพท์ (VOCAB)
- Conservation = การอนุรักษ์
- Assimilation = การดูดซึม
- Accommodation = การปรับสมดุล
- Accommodation = การปรับและจัดระบบ
- Reversibility = การคิดย้อนกลับ
- Discovery learning = กระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง
- Project Approach = การสอนแบบโครงการ
- Differences = ความแตกต่าง
- Sensori = ประสาทสัมผัส
- Differences = ความแตกต่าง
สามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการสอนและใช้หลักการทฤษฎีต่างๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการเรียนการสอน ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Evaluation (การประเมิน)
- Self (ตนเอง) วันนี้ไม่ได้เรียน แต่ติดตามงานจากเพื่อน
- Friends (เพื่อน) เพื่อนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในชั้นเรียน
- Teacher (อาจารย์) มีการเตรียมการเรียนการสอนมาเป็นอย่างดี ตรงต่อเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น