บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 5
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น.
________________________________
บูรณาการทักษะรายวิชา
คณิตศาสตร์ : กรอบมาตรฐานคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ : กรอบมาตรฐานวิทยาศาสตร์
สังคมศึกษา : พัฒนาการ
อารมณ์จิตใจ และ สังคม
พลศึกษา/สุขศึกษา : พัฒนาการการเคลื่อนไหวและจังหวะ
ศิลปะสร้างสรรค์ : สีเทียน สีน้ำ ฉีกปะ สานร้อย
ประดิษฐ์ ร่วมมือ ปั้น
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เป็นทักษะแสวงหาความรู้ และแนวทางสำหรับการแก้ไขปัญหา
เป็นแนวทางที่พัฒนาขึ้นตามหลักสูตร(SAPA)ของสมาคมอเมริกันเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
ประกอบด้วยทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ
1.ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน8ทักษะ เหมาะสำหรับระดับการศึกษาปฐมวัย2.ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ5ทักษะ เหมาะสำหรับระดับการศึกษามัธยมวัย
1. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
8 ทักษะ เป็นทักษะเพื่อการแสวงหาความรู้ทั่วไป ประกอบด้วย
ทักษะที่1การสังเกต(Observing)หมายถึงการใช้ประสาทสัมผัสของร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส เข้าสัมผัสกับวัตถุหรือเหตุการณ์เพื่อให้ทราบ
และรับรู้ข้อมูล รายละเอียดของสิ่งเหล่านั้น โดยปราศจากความคิดเห็นส่วนตน
ข้อมูลเหล่านี้จะประกอบด้วย ข้อมูลเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ
และรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการสังเกตความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถแสดงหรือบรรยายคุณลักษณะของวัตถุได้
จากการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรืหลายอย่าง
– สามารถบรรยายคุณสมบัติเชิงประมาณ
และคุณภาพของวัตถุได้
– สามารถบรรยายพฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงของวัตถุได้
ทักษะที่ 2 การวัด (Measuring) หมายถึง
การใช้เครื่องมือสำหรับการวัดข้อมูลในเชิงปริมาณของสิ่งต่างๆ
เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นตัวเลขในหน่วยการวัดที่ถูกต้อง แม่นยำได้ ทั้งนี้
การใช้เครื่องมือจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด
รวมถึงเข้าใจวิธีการวัด และแสดงขั้นตอนการวัดได้อย่างถูกต้อง
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถเลือกใช้เครื่องมือได้เหมาะสมกับสิ่งที่วัดได้
– สามารถบอกเหตุผลในการเลือกเครื่องมือวัดได้
– สามารถบอกวิธีการ ขั้นตอน
และวิธีใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้อง
– สามารถทำการวัด
รวมถึงระบุหน่วยของตัวเลขได้อย่างถูกต้อง
ทักษะ ที่ 3 การคำนวณ (Using numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุ และการนำตัวเลขที่ได้จากนับ
และตัวเลขจากการวัดมาคำนวณด้วยสูตรคณิตศาสตร์ เช่น การบวก การลบ การคูณ การหาร
เป็นต้น โดยการเกิดทักษะการคำนวณจะแสดงออกจากการนับที่ถูกต้อง
ส่วนการคำนวณจะแสดงออกจากการเลือกสูตรคณิตศาสตร์ การแสดงวิธีคำนวณ
และการคำนวณที่ถูกต้อง แม่นยำ
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถนับจำนวนของวัตถุได้ถูกต้อง
– สามารถบอกวิธีคำนวณ แสดงวิธีคำนวณ
และคิดคำนวณได้ถูกต้อง
ทักษะที่ 4 การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การเรียงลำดับ
และการแบ่งกลุ่มวัตถุหรือรายละเอียดข้อมูลด้วยเกณฑ์ความแตกต่างหรือความสัมพันธ์ใดๆอย่างใดอย่างหนึ่ง
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถเรียงลำดับ และแบ่งกลุ่มของวัตถุ
โดยใช้เกณฑ์ใดได้อย่างถูกต้อง
– สามารถอธิบายเกณฑ์ในเรียงลำดับหรือแบ่งกลุ่มได้
ทักษะที่ 5 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส
และสเปสกับเวลา (Using space/Time relationships)
สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองอยู่
ซึ่งอาจมีรูปร่างเหมือนกันหรือแตกต่างกับวัตถุนั้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 มิติ คือ ความกว้าง
ความยาว และความสูง ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่
ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ
ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุหนึ่งกับวัตถุหนึ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุกับเวลา ได้แก่
ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุกับช่วงเวลา
หรือความสัมพันธ์ของสเปสของวัตถุที่เปลี่ยนไปกับช่วงเวลา
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถอธิบายลักษณะของวัตถุ 2 มิติ และวัตถุ 3 มิติ ได้
– สามารถวาดรูป 2 มิติ
จากวัตถุหรือรูป 3 มิติ ที่กำหนดให้ได้
– สามารถอธิบายรูปทรงทางเราขาคณิตของวัตถุได้
– สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ 2
มิติ กับ 3 มิติได้ เช่น
ตำแหน่งหรือทิศของวัตถุ และตำแหน่งหรือทิศของวัตถุต่ออีกวัตถุ
– สามารถบอกความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุกับเวลาได้
– สามารถบอกความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงขนาด
ปริมาณของวัตถุกับเวลาได้
ทักษะที่ 6 การจัดกระทำ และสื่อความหมายข้อมูล (Communication)
หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต และการวัด
มาจัดกระทำให้มีความหมาย โดยการหาความถี่ การเรียงลำดับ การจัดกลุ่ม การคำนวณค่า
เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น ผ่านการเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ วงจร
เขียนหรือบรรยาย เป็นต้น
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ
– สามารถเลือกรูปแบบ
และอธิบายการเลือกรูปแบบในการเสนอข้อมูลที่เหมาะสมได้
– สามารถออกแบบ
และประยุกต์การเสนอข้อมูลให้อยู่ในรูปใหม่ที่เข้าใจได้ง่าย
– สามารถเปลี่ยนแปลง
ปรับปรุงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย
– สามารถบรรยายลักษณะของวัตถุด้วยข้อความที่เหมาะสม
กะทัดรัด และสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย
ทักษะที่ 7 การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring)
หมายถึง
การเพิ่มความคิดเห็นของตนต่อข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผลจากพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์ที่มี
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ
สามารถอธิบายหรือสรุปจากประเด็นของการเพิ่มความคิดเห็นของตนต่อข้อมูลที่ได้มา
ทักษะที่ 8 การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การทำนายหรือการคาดคะเนคำตอบ
โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการทำซ้ำ
ผ่านกระบวนการแปรความหายของข้อมูลจากสัมพันธ์ภายใต้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ
สามารถทำนายผลที่อาจจะเกิดขึ้นจากข้อมูลบนพื้นฐานหลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่มีอยู่
ทั้งภายในขอบเขตของข้อมูล และภายนอกขอบเขตของข้อมูลในเชิงปริมาณได้
ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ที่จำเป็นสำหรับเด็กปฐมวัยมี 7 ทักษะ ได้แก่
1. ทักษะการสังเกต (Observation)คือการใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้ โดยเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์อย่างมีจุประสงค์
เช่น การจะหาข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น ๆ
โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไป
2. ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying)คือ ความสามารถในการแบ่งประเภทของสิ่งของ
โดยหาเกณฑ์หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น ส่วนใหญ่เด็กจะใช้เกณฑ์ในการจำแนกอยู่ 3
อย่าง คือ ความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ร่วม
ซึ่งแล้วแต่เด็กจะเลือกใช้(ดังนั้นครุควรถามเมื่อจัดกิจกรรมทั้งนี้เพื่อให้ประเมินเด็กได้อย่างถูกต้อง)
ซึ่งเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่จะเลือกใช้เกณฑ์ 2 อย่าง คือ
ความเหมือน และความต่าง เมื่อเด็กสามารถสร้างความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความสัมพันธ์แล้วเด็กจึงจะจำแนกโดยใช้ความสัมพันธ์ร่วมได้
3. ทักษะการเปรียบเทียบ (Comparing)คือ การที่เด็กต้องอาศัยความสัมพันธ์ของวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์
ตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไป บนพื้นฐานของคุณสมบัติที่มีลักษณะเฉพาะอย่าง เช่น
เด็กสามารถบอกได้ว่าลูกบอลลูกหนึ่งมีขนาดเล็กกว่าลูกอีกลูกหนึ่ง
นั่นแสดงให้เห็นว่า เด็กเห็นความสัมพันธ์ของลูกบอล คือ เล็ก - ใหญ่
ความสำคัญในการเปรียบเทียบ คือ
เด็กจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้น ๆ
และรู้จักคำศัพท์คณิตศาสตร์ การเปรียบเทียบนับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเรียนในเรื่องการวัดและการจัดลำดับ
4. ทักษะการจัดลำดับ (Ordering)คือ
การส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการจัดลำดับวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์
ซึ่งเป็นทักษะการเปรียบขั้นสูง เพราะจะต้องอาศัยการเปรียบเทียบสิ่งของมากกว่าสองสิ่งหรือสองกลุ่ม
การจัดลำดับในครั้งแรก ๆ
ของเด็กปฐมวัยจะเป็นไปในลักษณะการจัดกระทำกับสิ่งของสองสิ่ง
เมื่อเกิดการพัฒนาจนเกิความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วเด็กจึงจะสามารถจัดลำดับที่ยากยิ่งขึ้นได้
5. ทักษะการวัด (Measurement)เมื่อเด็กมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดประเภท การเปรียบเทียบ
และการจัดลำดับมาแล้ว เด็กจะพัฒนาความสามารถเข้าสู่เรื่องการวัดได้
ความสามารถในการวัดของเด็ก
จะมีความสัมพันธ์กับความสามารถใสนการอนุรักษ์(ความคงที่) เช่น
เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับความยาวของเชือกได้ว่า เชือกจะมีความยาวเท่าเดิมถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนทิศทางหรือตำแหน่งก็ตาม
6. ทักษะการนับ (Counting)แนวคิดเกี่ยวกับการนับจำนวน ได้แก่ การนับปากเปล่า
บอกขนาดของกลุ่มที่มีขนาดเท่ากันโดยไม่ต้องนับ นับโดยใช้ลำดับที่นับจำนวนเพิ่มขึ้น
นับเพื่อรู้จำนวนที่มีอยู่ การจดตัวเลข การนับและเข้าใจความหมายของจำนวน
การใช้สัญลักษณ์แทนจำนวน ในเด็กปฐมวัยชอบการนับแบบท่องจำโดยไม่เข้าใจความหมาย
การนับแบบท่องจำนี้จะมีความหมายต่อเมื่อเชื่อมโยงกับจุดประสงค์บางอย่าง เช่น
การนับจำนวนเพื่อนในห้องเรียน นับขนมที่อยู่ในมือ
แต่การนับของเด็กอาจสับสนได้หากมีการจัดเรียงสิ่งของเสียใหม่
เมื่อเด็กเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์(จำนวน)แล้วเด็กปฐมวัยจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องการนับจำนวนอย่างมีความหมาย
7. ทักษะเกี่ยวกับเรื่องรูปทรงและขนาด (Sharp
and Size)เรื่องขนาดและรูปทรงจะเกิดขึ้นกับเด็กโดยง่าย
ทั้งนี้เนื่องจากเด็กคุ้นเคยจากการเล่น การจับต้องสิ่งของ ของเล่น
หรือวัตถุรูปทรงต่าง ๆ อยู่เสมอในแต่ละวัน เราจึงมักจะได้ยินเด็กพูดถึงสิ่งต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับรูปทรงหรือขนาดอยู่เสมอ
ครูสามารถทดสอบว่าเด็กรู้จักรูปทรงหรือไม่ได้โดยการให้เด็กหยิบ/เลือก
สิ่งของตามคำบอก เมื่อเด็กรูปจักรูปทรงพื้นฐานแล้วครูสามารถสอนให้เด็กรู้จักรูปทรงที่ยากขึ้นได้
ทักษะพื้นฐานในการคิดคำนวณ สำหรับเด็กปฐมวัยอาจแบ่งได้ 3 ทักษะ
1. ทักษะในการจัดหมู่
2. ทักษะในการรวมหมู่(การเพิ่ม)
3. ทักษะในการแยกหมู่(การลด)
6 กิจกรรมหลัก
1. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ ซึ่งจังหวะและดนตรีที่ใช้ประกอบได้แก่ เสียงตบมือ
เสียงเพลง เสียงเคาะไม้ เคาะเหล็ก
1.การเคลื่อนไหวพื้นฐาน
2.การเคลื่อนไหวสัมพันธ์เนื้อหา
3.การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การเคลื่อนไหวเบื้องต้นสำหรับเด็กปฐมวัย
1.การเคลื่อนไหวพื้นฐาน
การเคลื่อนไหวแบบไม่เคลื่อนที่
1. การก้มตัว (bending)
2. การเหยียดตัว (stretching)
3. การบิดตัว (twisting)
4. การดึง (pulling)
5. การหมุน (turning)
6. การโยกตัว (rocking)
7. การแกว่ง หรือหมุนเหวี่ยง (swinging)
8. การดัน (pushing)
9. การสั่น (shaking)
10. การโอนเอน (swaying)
11. การตี (striking)
1. การเดิน (walking)
2. การวิ่ง (running)
3. กระโดด (jumping)
4. กระโจน (leaping)
5. กระโดดขาเดียว (hopping)
6. ก้าวกระโดด (skip)
7. การควบม้า (gallop)
8. การไถลหรือสไลด์ (sliding)
การเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์
1. ใช้อุปกรณ์ประกอบการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
2. ใช้อุปกรณ์ประกอบการเคลื่อนไหวพร้อมกับดนตรี
3. เคลื่อนไหวร่างกายไปในทิศทางต่างๆพร้อมกับอุปกรณ์นำระดับสูงกลางต่ำและอวัยวะส่วนต่างๆ
4. จับคู่เคลื่อนไหวร่างกายพร้อมกับผ้า
5. เคลื่อนไหวร่างกายประกอบกระดาษ
6. เคลื่อนไหวกลุ่มประกอบเชือก
7. ยืนเป็นวงกลม
วางอุปกรณ์ไว้กลางวงแล้วเคลื่อนที่ไปรอบๆ
2.การเคลื่อนสัมพันธ์เนื้อหา
1.การเคลื่อนไหวตามคำสั่ง เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายตามที่ครูออกคำสั่ง เช่น
ให้จัดกลุ่มตามจำนวน การทำท่าทางตามคำสั่ง ฯลฯ
2.การเคลื่อนไหวตามข้อตกลง เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายตามข้อกำหนด เช่น
การฝึกความจำ สถานที่ สัญญาณ ท่าทาง เกมการละเล่นต่างๆ ฯลฯ
3.การเคลื่อนไหวแบบผู้นำ ผู้ตาม เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกาย
ทำท่าทางเป็นผู้นำและให้เพื่อนปฏิบัติตาม สลับหมุนเปลี่ยนกันไป
4.การเคลื่อนไหวท่าทางตามจินตนาการ เป็นการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวที่ให้เด็กแสดงท่าทางตามความคิดจินตนาการโดยฟังคำบรรยายเรื่องราว
เพลง ทำนอง โดยทำท่าทางจินตนาการประกอบอุปกรณ์ เช่น ริบบิ้น เชือก ฯลฯ
5.การเคลื่อนไหวประกอบเพลงหรือคำคล้องจอง เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือบริหารร่างกายอย่างอิสระประกอบเพลงหรือคำคล้องจอง
2. กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับงานศิลปศึกษาต่าง
ๆ ได้แก่ การวาดภาพระบายสี การปั้น การพิมพ์ภาพ การพับ ตัด ฉีก ปะ
และประดิษฐุ์เศษวัสดุ ที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิดสร้างสรรค์
การรับรู้เกี่ยวกับความงามและส่งเสริมกระตุ้นให้เด็กแต่ละคนได้แสดงออกตามความรู้สึกและความสามารถของตนเอง
3. กิจกรรมเสรี เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เล่นกับสื่อและเครื่องเล่นอย่างอิสระในมุมการเล่นกิจกรรมการเล่นแต่ละประเภทสนองตอบความต้องการตามธรรมชาติของเด็ก
4. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ฟัง พูด สังเกต คิด และปฏิบัติการทดลอง
ให้เกิดความคิดรวบยอดและเพิ่มพูนทักษะต่าง ๆ ด้วยวิธีการหลากหลาย เช่น การสนทนา
ซักถามหรืออภิปราย สังเกต ทัศนศึกษา และปฏิบัติการทดลองตามกระบวนการเรียนรู้
5. กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ออกนอกห้องเรียนไปสู่สนามเด็กเล่นทั้งที่บริเวณกลางแจ้งและในร่มเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระ
โดยยึดเอาความสนใจ และความสามารถของเด็กแต่ละคนเป็นหลัก
6. กิจกรรมเกมการศึกษา เป็นกิจกรรมการเล่นที่มีกระบวนการในการเล่นตามชนิดของเกมประเภท
ต่างๆเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน
Application (การประยุกต์ใช้)
สามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการจัดรูปแบบแนวการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับผู้เรียนเป็นหลักและใช้หลักการทฤษฎีต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากแต่ละโรงเรียนมีแนวการสอนที่ไม่เหมือนกัน เราจึงสามารถดึงเอาความรู้ที่ได้เรียนไปใช้ได้จริง
Evaluation (การประเมิน)
- Self (ตนเอง) ตั้งใจเรียน จดบันทึกตามที่อาจารย์สอน และตอบคำถาม
- Friends (เพื่อน) เพื่อนให้ความร่วมมือตอบคำถาม มีคุยบ้างเล็กน้อย
- Teacher (อาจารย์) ตรงต่อเวลา เมื่อไม่เข้าใจอาจารย์จะอธิบายเพิ่ม พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น