Welcome and thanks for visiting my blog

วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 4
วันจันทร์ที่ 05 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น. 
________________________________

Knowledge (ความรู้)
  • ได้นำเสนองานตามที่ได้รับมอบหมายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ตามหัวข้อต่อไปนี้
- กลุ่มที่ 1 เรื่องการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori)
  • เป็นการจัดสภาพสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน ครูเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้เสรีภาพแก่เด็ก ให้คำปรึกษาและกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ให้ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อม โดยครูคำนึง ถึงความสนใจ ความต้องการและความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ของเด็กและยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย การจัดการสอนแบบมอนเตสซอรี่จะคำนึงถึงเด็กเป็นสำคัญ
  • ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ 
  • หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้านคือ
  1. ด้านทักษะกลไก (Motor Education) 
  2. ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses) 
  3. ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic)

  • การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เกิดจากแนวคิดของมาเรีย มอนเตสซอรี่ (Maria Montessori) แพทย์หญิงชาวอิตาลีที่มีความเชื่อว่า “การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรม ชาติของเขา” 
  • วิธีการสอนแบบมอนเตสซอรี่ กิจกรรมถือเป็นส่วนสำคัญของสิ่งต่างๆ ที่ดำเดินไปในโรงเรียน มอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กเล็กควรจะเรียนด้วยร่างกายทั้งหมดโดยเน้นทางด้านการฝึกฝนทางประสาทสัมผัส กิจกรรม หรืองานที่เด็กทำจะต้องมีความหมาย
  • ในการทำงาน ครูจะต้องคอยสังเกตว่าเด็กพร้อมที่จะเรียนอุปกรณ์ในขั้นต่อไปหรือยังตามลำดับยากง่าย หรือตามที่นกเรียนร้องขอ การแสดงอุปกรณ์มี 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ 
ขั้นที่ 1 เชื่อมโยงการรับรู้ทางประสาทสัมผัสกับชื่อ …. " นี่คือ แขนงไม้ " 
ขั้นที่ 2 รู้จักชื่อของสิ่งของ … " หยิบแขนงไม้มาให้ครูซิ " 
ขั้นที่ 3 จำชื่อได้สอดคล้องกับอุปกรณ์ … " นี่คือ อะไร "



**คลิกที่นี้ การจัดการเรียนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori)**

- กลุ่มที่ 2 เรื่องภาษาธรรมชาติ



  • การสอนภาษาแบบธรรมชาติ เป็นการจัดประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาจากสิ่งที่มีความหมายในชีวิตประจำวัน โดยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ภาษาในการสื่อสาร 
  • เน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น การถามตอบง่ายๆ การเล่านิทาน การช่วยกันแต่งนิทาน การแสดงบทบาทสมมติ เป็นต้น โดยมีครูเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาให้เด็กพัฒนาทักษะทางภาษาทั้งในด้าน การฟัง พูด อ่าน และเขียน กระตุ้นให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูในบรรยากาศที่อบอุ่น 
  • ภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach) เกิดจากหลักการและแนวคิดของนักการศึกษา นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean Piaget ผู้เชื่อว่า การที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ (Active) มิใช่การรับเข้าไปเฉยๆ (Passive) การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลของสังคมและผู้อื่น จึงเน้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่

**คลิกที่นี้ การจัดการเรียนแบบภาษาธรรมชาติ**

- กลุ่มที่ 3 เรื่องการจัดทำสารนิทัศน์ในระดับปฐมวัย

  • เพื่อเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย จากการทำกิจกรรมทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ซึ่งหลักฐานและข้อมูลดังกล่าวที่บันทึกไว้เป็นระยะ จะเป็นข้อมูลที่บ่งบอกถึงพัฒนาการของเด็กทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา อีกทั้งยังสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูด้วย
  • สารนิทัศน์ประเภททที่ 1 การบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวหรือประสบการณ์ เช่น การสอนแบบโครงการ (Project Approach) สามารถให้สารนิทัศน์เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กทุกด้าน ทั้งประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กและการสะท้อนตนเองของครู รูปแบบการบรรยายเรื่องราวจึงมีหลายรูปแบบ อาจได้จากการบันทึกการสนทนาระหว่างเด็กกับครู เด็กกับเด็ก การบันทึกของครู การบรรยายของพ่อแม่ผู้ปกครองในรูปแบบหนังสือหรือจดหมาย แม้กระทั่งการจัดแสดงบรรยายสรุปให้เห็นภาพการเรียนรู้ทั้งหมด
  • สารนิทัศน์ประเภททที่ 2 การสังเกตและบันทึกพัฒนาการเด็ก เช่น ใช้แบบสังเกตพัฒนาการ การบันทึกสั้น เป็นต้น
  • สารนิทัศน์ประเภททที่ 3 แฟ้มสะสมผลงาน(Portfolio)สำหรับเด็กเป็นรายบุคคล เช่น การเก็บชิ้นงานหรือภาพถ่ายเด็กขณะทำกิจกรรม มีการใช้แถบบันทึก เสียง แถบบันทึกภาพแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในงานที่เด็กทำ เป็นต้น
  • สารนิทัศน์ประเภททที่ 4 ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม ที่แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ ความสามารถ ทักษะจิตนิสัยของเด็ก ครูที่ชำนาญจะนำผลงานของเด็กมาใช้ดูพัฒนาการและกระบวนการทำงานของเด็ก ครูส่วนใหญ่มักจะเก็บผลงานการเขียนและผล งานศิลปะ อย่างไรก็ตามครูควรเก็บผลงานหลากหลายประเภทของเด็ก เช่น ภาพเขียน การร่วมระดมความคิดและเขียนออกมาในลักษณะใยแมงมุม การแสดงออกทางดนตรี การก่อสร้างในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างภาษาพูด เป็นต้น
  • สารนิทัศน์ประเภททที่ 5 การสะท้อนตนเองของเด็ก เป็นคำพูดหรือข้อความที่สะท้อนความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกจากการสนทนา การอภิปรายแสดงความคิดเห็นของเด็กขณะทำกิจกรรม ซึ่งอาจบันทึกด้วยแถบบันทึกเสียงหรือแถบบันทึกภาพ

  - กลุ่มที่ 4 เรื่องแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)

  • การเก็บรวบรวมผลงานของเด็ก การแสดงความก้าวหน้า ผลสัมฤทธิ์ของเด็กในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้าน เด็กมีส่วนร่วมในการเลือกชิ้นงาน โดยมีบรรทัดฐานหรือเหตุผลของการเลือกผลงานแต่ละชิ้น เกณฑ์ในการประเมินชิ้นงาน การบันทึกผลการสะท้อนผลงานโดยตัวของเด็ก
  • การประเมินผลเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการจัดการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัย Portfolio เป็นการประเมินผลวิธีหนึ่งที่เป็นที่สนใจในกระบวนการประเมินผลในปัจจุบัน ในลัษณะรูปแบบภาพถ่ายในการทำกิจกรรมชิ้นงาน

- กลุ่มที่ 5 เรื่องวอลดอร์ฟ ( Waldorf Method)

  • เน้นการเรียนรู้ของเด็กอย่างเป็นธรรมชาติหรือการดำรงชีวิตการปฎิบัติตามปรัชญาบนพื้นฐานธรรมชาติ
  • การจัดห้องอนุบาล มีลักษณะเป็น “อนุบาลแบบบ้าน” โดยมีครูเสมือนแม่ การจัดสภาพแวดล้อมภายในเช่นเดียวกับบ้านหนึ่งหลังที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งห้องครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น จัดให้มีความสวยงามและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิต ประจำวัน โดยครูจะนำทักษะด้านศิลปะมาจัดห้องเรียนให้อบอุ่นน่าอยู่ รวมทั้งอุปกรณ์และของเล่นเด็กก็มาจากวัสดุในธรรมชาติด้วย
  • เด็กเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ โดยมีครูทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง (Imitation) การงานในชีวิตประจำวัน การเล่นอย่างอิสระโดยไม่แทรกแซง (Free play) เสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ (Imagination) เด็กจะได้เล่นอย่างเสรี ด้วยวัตถุที่มาจากธรรมชาติ ทั้งเล่นในห้องเรียนและ เล่นกลางแจ้ง
  • บทบาทครู ( 3 R ) ได้แก่
  1. การทำซ้ำ (Repetition) เพื่อให้เกิดมั่นคง ครูควรทำกิจกรรมการเรียนการสอนและงานบ้านต่างๆอย่างสม่ำเสมอ 
  2. การทำซ้ำจังหวะ (Rhythm) เพื่อให้สิ่งแวดล้อมมีบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของวัยเด็ก ครูควรจัดตารางประจำวัน ตารางกิจกรรมในสัปดาห์ และเทศกาลประจำปี ให้สอดคล้องกับจังหวะที่ราบรื่นแบบลมหายใจเข้าและออก ให้ตารางของช่วงนั้นๆเหมาะสมลื่นไหล ไม่อัดแน่นหรือติดขัด หรือเรียกว่า การรักษาจังหวะ หรือ ความรู้สึกแบบท่วงทำนอง
  3. เคารพ (Reverence) ด้วยความตระหนักรู้ที่ว่า “มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” ทำให้เราอยู่ในโลกด้วยความรู้สึกกตัญญูและเคารพต่อธรรมชาติ ทั้งยังเคารพต่อศักยภาพของความเป็นมนุษย์

**คลิกที่นี้ การจัดการเรียนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf Method)**

- กลุ่มที่ 6 เรื่องไฮสโคป (High Scope)


  • เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ ซึ่งตรงตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) ของเปียเจต์ (Piaget) นักการศึกษาที่สำคัญคนหนึ่งของโลก ความสำคัญในด้านพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน จะเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) เพราะเด็กจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ และรู้จักลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง
  • แนวการสอนแบบไฮสโคป (High Scope)ใช้หลักปฏิบัติ 3 ประการ คือ 
  1. การวางแผน (Plan) เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติ หรือการดำเนินงานตามงานที่ได้รับมอบหมายหรือสิ่งที่สนใจด้วยการสนทนาร่วมกันระหว่างครูกับเด็ก และเด็กกับเด็ก ว่าจะทำอะไร อย่างไร การวางแผนกิจกรรมนี้เด็กอาจแสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็กหรือบอกให้ครูบันทึก เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ 
  2.  การปฏิบัติ (Do) คือ การลงมือทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา ตัดสินใจ และทำงานด้วยตนเอง หรือร่วมกับเพื่อนอย่างอิสระตามเวลาที่กำหนดโดยมีครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือในจังหวะที่เหมาะสม เป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง 
  3.  การทบทวน (Review) เด็ก ๆ จะเล่าถึงผลงานที่ตนเองได้ลงมือทำเพื่อทบทวนว่าตนเองนั้นได้ปฏิบัติงานตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การทบทวนจุดประสงค์ที่แท้จริงคือ ต้องการให้เด็กได้เชื่อมโยงแผนการปฏิบัติงานกับผลงานที่ทำ รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ลงมือทำด้วยตนเอง


***คลิกที่นี้ การจัดการเรียนแบบไฮสโคป (High Scope)***

คำศัพท์ (VOCAB)
  1. Plan = การวางแผน 
  2. Do = การปฏิบัติ 
  3. Review = การทบทวน 
  4. Reverence = เคารพ 
  5. Rhythm = การทำซ้ำจังหวะ 
  6. Repetition = การทำซ้ำ 
  7. Free play = การเล่นแบบอิสระ 
  8. Imitation = การเลียนแบบ 
  9. Imagination = จิตนาการ 
  10. Portfolio = แฟ้มสะสมผลงาน
Application (การประยุกต์ใช้)
     สามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการจัดรูปแบบแนวการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับผู้เรียนเป็นหลักและใช้หลักการทฤษฎีต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากแต่ละโรงเรียนมีแนวการสอนที่ไม่เหมือนกัน เราจึงสามารถดึงเอาความรู้ที่ได้เรียนไปใช้ได้จริง

Evaluation (การประเมิน)
  • Self (ตนเอง)   ตั้งใจเรียน จดบันทึกตามที่อาจารย์สอน และตอบคำถาม
  • Friends (เพื่อน)   เพื่อนให้ความร่วมมือตอบคำถาม มีคุยบ้างเล็น้อย
  • Teacher (อาจารย์)   ตรงต่อเวลา เมื่อไม่เข้าใจอาจารย์จะอธิบายเพิ่ม พร้อมยกตัวอย่างประกอบ



วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 3
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561 
เวลา 11.30 - 14.30 น.
_________________________________

Knowledge (ความรู้)
  • ทบทวนเนื้อหาที่เรียนจากสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนเรียนบทใหม่ 
- เรื่องพัฒนาการ
- เรื่องการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
- เรื่องความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
- เรื่องการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
- เรื่องการสอนแบบโครงการ

  • อาจารย์ให้แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ให้สมาชิกในกลุ่มช่วยระดมความคิดสมาชิกในกลุ่ก กว่าเราจะเลือกสอนหน่วยอะไรดี พร้อมเขียน Mind Mapping สร้างองค์ความรู้ก่อนที่จะลงมือทำแผนการสอน


กลุ่มที่ 1 หน่วยผีเสื้อแสนสวย (หน่วยดิฉัน)



  • อาจารย์ได้แนะนำการทำ Mind Mapping ที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยเริ่มจาการวางแผนเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อให้ได้เนื้อหาที่ครบถ้วน ถูกหลักองค์ประกอบต่างๆ และดูสวยงาม
กลุ่มที่ 2 หน่วยยานพาหนะ


กลุ่มที่ 3 หน่วยตัวเรา


กลุ่มที่ 4 หน่วยฝนจ๋า


กลุ่มที่ 5 หน่วยแหล่งน้ำ


กลุ่มที่ 6 หน่วยของใช้


คำศัพท์ (VOCAB)
  1. Transportation = ยานพาหนะ 
  2. Butterfly = ผีเสื้อ
  3. Rain = ฝน
  4. Water resource = แหล่งน้ำ
  5. Toy = ของเล่น
  6. Benefit = ประโยชน์
  7. Element = องค์ประอบ
  8. Planing = วางแผน
Application (การประยุกต์ใช้)
     สามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการเขียนแผนการสอนในแต่ละหน่วย ให้เห็นชัดขึ้นว่าในแต่ละวัน/สัปดาห์ เด็กจะต้องได้รับความรู้อะไรบ้าง เพื่อที่เด็จะได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอน ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Evaluation (การประเมิน)
  • Self (ตนเอง)   ตั้งใจเรียน จดบันทึกเนื้อหาเพิ่มเติมที่ไม่เข้าใจ
  • Friends (เพื่อน) เพื่อนให้ความร่วมมือ เขียนลามมือสวยงาม
  • Teacher (อาจารย์) มีการเตรียมการเรียนการสอนมาเป็นอย่างดี และยกตัวอย่างให้เข้าใจมากขึ้น






บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 2
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น.
___________________________________

Knowledge (ความรู้)
  • ได้นำเสนองานตามที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่แล้ว ตามหัวข้อต่อไปนี้
- กลุ่มที่ 1 เรื่องพัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
     พัฒนาการ หมายถึง สิ่งที่บ่งบอกถึงความสามารถของเด็กในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งมีคำนิยามการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงที่เป็นตามลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่องคล้ายกับขั้นบันได พัฒนาการนั้นเกิดจากการทำงานของสมอง
     ลักษณะพัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
     มาตรฐาน คือ เกณฑ์ขั้นต่ำ
     สภาพที่พึงประสงค์ คือ ความคาดหวังที่ต้องการให้เด็กสามารถทำได้
     คุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐานประกอบด้วย
     1.พัฒนาการด้านร่างกาย มี 2 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
     2. พัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ มี 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
     3. พัฒนาการด้านสังคม มี 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข
     4. พัฒนาการด้านสติปัญญา มี 4 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย
    ข้อแตกต่างหลักสูตรเก่า 2546 หลักสูตรใหม่ 2560 
  • มีรูปแบบที่ชัดเจนขึ้นทำให้ง่ายต่อการนำมาเขียนการจัดประสบการณ์
  • เพิ่มเติมวิสัยทัศน์ ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
  • เพิ่มเติมตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์รายอายุ"เพื่อให้มีเนื้อหาที่ชัดเจนขึ้น
ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง

ทฤษฏีทางสติปัญญาของเพียเจต์(Piaget)
     ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ เป็นไปตามวัยต่างๆเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่
2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์2เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผล เกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่
- ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของ
3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) เริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้
4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) เริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่

ทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก็อตสกี้(Vygotsky)
     วีก็อตสกี้แบ่งระดับเชาว์ปัญญาออกเป็น 2 ขั้น คือ
1. เชาว์ปัญญาขั้นเบื้องต้น คือเชาว์ปัญญามูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้
2. เชาว์ปัญญาขั้นสูง คือเชาว์ปัญญาที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ให้การอบรม เลี้ยงดู ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้โดยใช้ภาษา วีก็อตสกี้ ได้แบ่งพัฒนาการทางภาษาเป็น 3 ขั้น คือ
2.1 ภาษาที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียกว่า ภาษาสังคม (social speech) เป็นภาษาที่เด็กใช้ ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ในช่วงอายุ 0 - 3 ปี เพื่อสื่อสารความคิดความรู้สึกต่างๆที่ตนนั้นกำลังนึกคิด และต้องการที่จะแสดง ความต้องการอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองกับผู้อื่น
2.2 ภาษาที่พูดกับตนเอง 3 – 7 ขวบ (egocentric speech) เป็นภาษาที่เด็กใช้พูดกับตนเองในช่วงอายุ 3 -7 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เพื่อช่วยในการคิด ตัดสินใจแสดงพฤติกรรม
2.3 ภาษาที่พูดในใจเฉพาะตน 7 ขวบขึ้นไป (inner speech) วีก๊อทสกี้อธิบายว่า มนุษย์ต้องใช้ภาษาในการคิด เด็กจะต้องพัฒนาภาษาในใจ ซึ่งเป็นการช่วยให้พัฒนาการทางสติปัญญาพัฒนาสูงขึ้นตามระดับอายุ การพัฒนาภาษาภายในตนเองเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 7 ปี เมื่อเด็กพบปัญหาที่ยุ่งยากมากขึ้น เขาเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาไปตามขั้นตอนโดยใช้ภาษาภายในตนเอง ในขณะที่เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองนั้น เขาอาจพบบางปัญหาที่เขาคิดเองไม่ออก แต่หากได้รับคำแนะนำช่วยเหลือบางส่วนจากผู้ใหญ่ หรือได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเพื่อนเขาจะสามารถแก้ปัญหานั้นได้สำเร็จวีก๊อตสกี้เรียกระดับความสามารถนี้ว่าจุดที่เด็กสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จหากได้รับความช่วยเหลือสนับสนุน

- กลุ่มที่ 2 เรื่องความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
     ความสนใจในการอ่าน การเขียน และการเล่นของเด็กปฐมวัย หมายถึง กิริยาท่าทางหรือการกระทำที่แสดงออกถึงความสนใจ ความต้องการ กระตือรือร้นที่จะอ่านและเขียนด้วยความเต็มใจ โดยไม่ได้ถูกบังคับหรือทำตามคำสั่ง พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสนใจในการอ่านเขียน เช่น การหยิบหนังสือต่างๆมาเปิดดูรูปภาพ ข้อความและทำท่าอ่าน หยิบจับอุปกรณ์ดินสอ ปากกา สี กระดาษ มาขีดเขียนหรือวาดภาพ ขอให้ครูหรือเพื่อนช่วยเล่าเรื่องหรือเล่านิทานให้ฟัง หรือขอให้เพื่อนช่วยวาดภาพให้ดู พูดเล่าเรื่องตามหนังสือ ป้ายสัญลักษณ์ ข้อความตามลำพัง เป็นต้น
     ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัยมาจากพัฒนาการของเด็ก

- กลุ่มที่ 3 เรื่องการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย


ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฏีการเรียนรู้ของไวกอสกี้(Vygotsky) 
     ทฤษฏีไวกอสกี้ (Vygotsky) กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ Zone of proximal development ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
ทฤษฏีบรูเนอร์ (Bruner)
     ทฤษฏีบรูเนอร์ (Bruner) กล่าวว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลักการจัดประสบการณ์ให้เด็กเกิดการเรียนรู้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมใกล้ตัวเด็ก โดยการทำซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดทักษะและเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ 
1. ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
2. ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
3. ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์

- กลุ่มที่ 4 เรื่องการสอนแบบโครงการ (Project Approach)
     การสอนแบบโครงการ (Project Approach) หมายถึง การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้

     วิธีการจัดการเรียนการสอน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจที่อยากเรียนเมื่อเลือกแล้ว ทำร่องรอยการเรียนรู้ต่างๆ เช่น การถามประสบการณ์เดิมเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน / คำถามที่เด็กอยากรู้ และค้นคว้่หาคำตอบ เช่น การไปสืบค้นห้องสมุด การไปทัศนศึกษา / ให้เด็กวาดภาพเชื่อมโยงประสบการณ์
ระยะที่ 2 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่อยากรู้ ค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียน อาจมีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้แก่เด็ก
ระยะที่ 3 สรุปโครงการ เด็กนำเสนอความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยเชิญผู้ปกครองและเด็กห้องอื่นๆมาเป็นผู้รับชมการนำเสนอ


     ประโยชน์จากการสอนแบบโครงการ
1. เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
2. ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
3. เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเอง
4. เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับ ในความต้องการของเด็ก

คำศัพท์ (VOCAB)
  1. Conservation = การอนุรักษ์
  2. Assimilation = การดูดซึม
  3. Accommodation = การปรับสมดุล
  4. Accommodation = การปรับและจัดระบบ
  5.  Reversibility = การคิดย้อนกลับ
  6.  Discovery learning = กระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง 
  7. Project Approach = การสอนแบบโครงการ 
  8. Differences = ความแตกต่าง
  9. Sensori = ประสาทสัมผัส
  10. Differences = ความแตกต่าง
Application (การประยุกต์ใช้)
     สามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการสอนและใช้หลั
ารทฤษฎีต่างๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นแนวทางในารเรียนารสอน ให้เกิดประสิทธิภาพมายิ่งขึ้น

Evaluation (การประเมิน)
  • Self (ตนเอง)   วันนี้ไม่ได้เรียน แต่ติดตามงานจากเพื่อน
  • Friends (เพื่อน)   เพื่อนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในชั้นเรียน 
  • Teacher (อาจารย์)   มีการเตรียมการเรียนการสอนมาเป็นอย่างดี ตรงต่อเวลา



วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 1
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561 
เวลา 11.30 - 14.30 
______________________________

Knowledge (ความรู้)
  • การเรียนการสอนในครั้งแรก อาจารย์แจก Course Sallybus และแนะนำแนวการเรียนการสอนวิชาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางการศึกษา เนื้อหาการเรียนการสอน สื่อชิ้นงานที่ต้องทำ งานลุ่มงานเดี่ยว สาระสำคัญ และเกณฑ์การให้คะแนน 
  • พูดคุยสนทนาปัญหาที่พบในการปฏิบัติวิชาชีพครู 2 และร่วมกันหาแนวทางแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้น 
  • ชี้แจงการทำ blogger โดยใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษมากขึ้นเพื่อเสริมทักษะภาษาอังกฤษ 
  • การใช้เพลงหรือคำคล้องจอง นำเข้าสู่ก่อนเข้าบทเรียน เพื่อดึงดูดความสนใจ กระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก 
  • มอบหมายงานโดยแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน นำเสนองานตามหัวข้อที่กำหนดในสัปดาห์หน้า 







รูปแบบการจัดการเรียนการสอน
     แบ่งออกเป็น 6 กิจกรรมหลัก ได้แก่
1.กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ (Motor and Rhythmic Activities)
2.กิจกรรมเสริมประสบการณ์ (Experience-Enhancement Activities)
3.กิจกรรมสร้างสรรค์ (Creative Activities)
4.กิจกรรมกลางแจ้ง (Outdoor Activities)
5.กิจกรรมเกมส์การศึกษา (Educational Games)
6.กิจกรรมเสรี (Unstructured Activities)

Sample songs (ตัวอย่างเพลง)

  • นั่งตัวตรง ๆ ....... ตรงไหมค่ะ ๆ ตรงแล้วเอามือไว้บนตัก นั่งตรง ตรง 
  • ปรบมือแปะแปะ เรียกแพะเข้ามาแพะ ไม่มาเอามือปิดปากรู้ซิบ 
  • นิ้วชี้คนดีอยู่ไหน ชูให้คุณครูดูหน่อย แล้ววางบนปากน้อยๆ แล้วตั้งใจฟังคุณครูให้ดี 
  • 1 2 มือตีกลองตะล็อกต๊อกแต๊ก 3 4 ให้ดูดี 5 6 ส่องกระจก 7 8 ถือปืนแฝดยิงปัง ปัง ปัง 9 10 กินกล้วยดิบปวดท้องร้องโอ๊ยยยย 
  • เจ้าปลาหมึกหนวดยาว ตัวขาวน่ารัก พอเจอยิ้มทักแล้วชอบยักไหล่เล่น ยักเช้า ยักเย็น ชอบยักไหล่เล่น แล้วก็ยัก ยัก ยัก เจ้าปลาหมึกผูกโบว์ 
คำศัพท์ (VOCAB)
  1. One = หนึ่ง 
  2. ผึ้ง = Bee 
  3. Tea = น้ำชา 
  4. ม้า = House 
  5. กอด = Hug 
  6. รัก = Love 
  7. Verb = กริยา 
  8. ปลา = Fish 
  9. คิด = Think 
  10. Pink = ชมพู 
  11. งู = Snake 
  12. Leg = ขา 
  13. หมา = Dog 
  14. Frog = กบ 
  15. จบ = Finish 
  16. ครู = Teacher 
  17. เจอ = Meet 
  18. Beef = เนื้อ 
  19. เสือ = Tiger 
  20. Leader = ผู้นำ 
  21. Infinity = ไม่มีที่สิ้นสุด 
  22. Foot = เท้า 
  23. ข้าว = Rice 
  24. Night = กลางวัน 
  25. ตื่น = Wake up
Application (การประยุกต์ใช้)
     สามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอนไปใช้ในการสอนในอนาคตได้จริง และรู้จักแก้ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นได้ ในการจัดประสบการณ์ให้แก่เด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม

Evaluation (การประเมิน)
  • Self (ตนเอง)   ตั้งใจเรียนที่อาจารย์สอน จดบันทึกเพิ่มเติม 
  • Friends (เพื่อน)   เพื่อนมีการตอบคำถามในชั้นเรียนและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี 
  • Teacher (อาจารย์)   มีการเตรียมการเรียนการสอนมาเป็นอย่างดี ตรงต่อเวลา 

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 17 วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.00 น.- 17.30 น.   ชดเชยของวันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 เวลา 11.30-14.30 ...